วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

                โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวอีกโรคหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ โรคหูดหงอนไก่ ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่สามารถทำให้เกิดความทรมานจากการเป็นโรคนี้มาก หูดหงอนไก่เป็นได้ทั้งชายและหญิง เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus หรือที่รู้จักกันในนาม HPV ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ถึงจะไม่มีเพศสัมพันธ์ก็สามาถรับเชื้อเข้าไปได้โดยการสัมผัสส่วนที่มีเชื้ออยู่ รวมถึงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อ กางเกงใน เป็นต้น
                อาการของหูดหงอนไก่
                หูดมีระยะการฟักตัว 2-6 เดือน เริ่มแรกผิวหนังจะเริ่มเป็นผื่นสีชมพู เมื่อผื่นมีขนาดใหญ่จะมีสีน้ำตาลผื่นนูนหนาขึ้น แล้วจะมีหูดก้อนเล็ก ๆ จนถึงก้อนโตขึ้นตรงหี ทวารหนัก เกิดการตกขาวผิดปกติหรือคัน บางรายมีอาการแสบร้อนตรงหี หูดจะมีลักษณะเหมือนกะหล่ำ เป็นติ่งเนื้อสีชมพู มีขนาดแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะมีอาการในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีความชุ่มชื่นตรงหีมากกว่าผู้ชาย
                บางรายเป็นพาหะนำโรค คือ ไม่มีตุ่มนูน แต่มีเชื้อที่ผิวหนัง สามารถแพร่เชื้อได้โดยการสัมผัส
                วิธีการป้องกันและวิธีการรักษา
                การป้องกัน คือ การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหูด ทำความสะอาดของเครื่องใช้เสมอ

                ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่จะอายไม่กล้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา สามารถหายเองได้แต่ค่อนข้างใช้ระยะเวลานาน บางคนอาจเกิดการลุกลามของเชื้อและอาจทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ อาจใช้การทายา การขูด การจี้ด้วยความเย็นหรือจี้ด้วยไฟฟ้า และการผ่าตัด เมื่อหายแล้วควรฉีดวัคซีนป้องกันหูด

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หูดข้าวสุก

หูดข้าวสุก

                หูดข้าวสุก เป็นโรคที่ติดต่อทางการสัมผัสผิวหนัง สามารถพบได้ทั้ง เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักพบบริเวณหี จึงถือได้ว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นการถ่ายทอดเชื้ออีกทางหนึ่ง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum contagiosum virus หรือที่เรียกย่อๆว่า MCV โดยเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวที่ผิวชั้นนอก ทำให้มีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อที่ไม่มีอาการเจ็บหรือคันแต่อย่างใด มีรอยบุ๋มอยู่ตรงกลาง มีสีออกชมพู ไม่บวมหรือมีผื่นขึ้น ส่วนใหญ่จะหายเองได้ในเวลา 7-18 เดือน แต่มักตัดออกเพราะไม่ให้เกิดการลุกลามไปส่วนอื่น ในกลุ่มผู้ป่วยเอดส์นั้น โอกาสพบหูดข้าวสุกมีมากขึ้นคือ 5-18% และยังพบจำนวนตุ่มหูดข้าวสุกมากกว่าคนปกติอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามหูดข้าวสุกไม่ได้มีการติดเชื้อลุกลามไปยังระบบประสาทอย่างใด เป็นเพียงโรคทางผิวหนังเท่านั้น
                การป้องกันหูดข้าวสุก
                1.ล้างมือ และทำความสะอาดของเครื่องใช้ทุกวัน เพราะป้องกันไม่ให้เชื้อโรคมีมากขึ้น
                2.ไม่ใช้ของร่วมกันกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว สิ่งของที่มีการสะสมเชื้อโรคได้ง่าย
                3.ไม่มีคู่นอนหลายคน
                4.ช่วงที่เป็นโรค ถ้าหูดเกิดในบริเวณหีควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อน
                5.ใส่ถุงยางขณะร่วมเพศ งดดูหนังโป๊
                6.ไม่เกา หรือแกะหูด จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและทำให้แผลติดเชื้อได้ด้วย
                วิธีการรักษาทางการแพทย์
                1.การจี้ด้วยความเย็นและการขูด ซึ่งแพทย์จะให้การรักษารอยโรคซ้ำทุก 2-3 สัปดาห์ จนรอยโรคหายทุกรอย
                2.ยาจี้หรือการจี้ด้วยไฟฟ้า
                3.การใช้สารเคมีเข้าช่วย อาทิเช่น silver nitrate หรือ trichloracetic acid or iodine 

                4.การใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid หรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หนองใน (Gonorrhea)

หนองใน (Gonorrhea)

                โรคหนองในเกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Neisseria gonorrhoeae มีระยะการฝักตัว 10-15 วัน เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เพศชายจะมีอาการปวดแสบควยและมีหนองไหลออกมา ทำให้เกิดมะเร็งอัณฑะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมากได้ ส่วนเพศหญิงส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏอาการ อาจจะมีอาการตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย ถ้ามีอาการหนักมากขึ้นจะสามารถเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ติดเชื้อ ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานๆไม่รักษาให้ถูกวิธีจะทำให้เป็นหมันหรือเกิดภาวะมีบุตรยากได้ โรคหนองในสามารถติดต่อได้ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนักและทางปาก
                อาการของโรคหนองใน
                ในผู้ชาย จะมีการอักเสบของอัณฑะ และท่อปัสสาวะอักเสบ มีหนองไหลจากปลายควย บางรายอาจไม่มีอาการ หากมีอาการมักจะปรากฏใน 1-14 วัน
                ในผู้หญิง จะเกิดอาการแทรกซ้อนและรุนแรงกว่าผู้ชาย โดยอาจมีปัสสาวะแสบขัด ตกขาว
มีเลือดออกทางหีระหว่างรอบเดือน หากติดเชื้อทางทวารหนัก อาจมีอาการคันหรือปวด เวลาขับถ่าย หากติดเชื้อในช่องคอ อาจมีอาการเจ็บคอ หรืออาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้
                หากมีหนองในระหว่างการตั้งครรภ์ ทารกสามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสเยื่อบุหี อาจทำให้เกิดตาบอดหรือติดเชื้อรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อทารกได้
                วิธีการป้องกันและการรักษา
                เมื่อมีเพศสัมพันธ์ควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และเมื่อสงสัยว่าคู่นอนตนเองเป็นหนองในควรงดทำรักตรงควย ปาก จุดอับชื้นต่างๆบนร่างกาย ถ้ามีอาการปวดแสบ หรือคันตรงหี ควรหยุดการมีเพศสัมพันธ์และปรึกษาแพทย์

                สำหรับผู้ที่เป็นหนองใน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ และงดการสัมผัสโรค เพราะสามารถกลับมาเป็นหนองในได้อีก ควรมีคู่นอนเพียงคนเดียว และการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อได้

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immune Deficiency Syndrome)

โรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immune Deficiency Syndrome)

                เอดส์ เป็นโรคติดต่อเรื้อรังสามารถรักษาได้ แต่ไม่หายขาด ในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอดส์มากถึง 7 แสนคน เสียชีวิตมากกว่า 3 หมื่นคน และมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 1 ล้านคน สาเหตุหลักของการติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากทางเพศสัมพันธ์ ปัญหาโรคเอดส์เป็นปัญหาสะสมมานาน เพราะไม่พบวิธีการรักษาที่หายขาดได้ จึงต้องรักษาด้วยวิธีการทานยาต้านเชื้อไวรัสเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อไวรัสเอดส์เท่านั้น
                โรคเอดส์ติดต่อได้อย่างไร?
               1.การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคู่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย การมีเพศสัมพันธ์แบบหญิงรักร่วมเพศและชายรักร่วมเพศ
                2.การใช้เข็มฉีดร่วมกับผู้อื่น ส่วนมากจะเป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
                3.การติดต่อจากมารดาสู่บุตร ซึ่งอาจติดต่อทางสายรก น้ำนม หรือทางกระแสเลือดโดยตรงก็ได้
                4.การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ
                5.จะไม่ติดจากการช่วยตัวเองและดูหนังโป๊แน่นอน
                โรคเอดส์ไม่สามารถติดต่อได้จากการถูกยุงกัด การสัมผัสผิวภายนอก น้ำลาย หรือการที่ออกมานอกร่างกาย เพราะเชื้อไวรัสจะอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
                อาการของโรคเอดส์ 3 ระยะ
                1.ในระยะแรกจะมีอาการเป็นไข้หวัด เจ็บคอ เวียนหัว ปวดเมื่อยตามตัว และอาการจะหายเป็นแกติเอง โดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ
                2.ต่อมาระยะที่สอง เริ่มบ่งบอกอาการติดเชื้อ แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาการระยะนี้จะเกิดขึ้นภายหลัง 3 เดือน หลังจากร่างกายได้รับเชื้อแล้ว จะมีอาการเป็นเริม งูสวัด น้ำหนักเริ่มลดลง เริ่มมีผื่นคัน
                3.ระยะที่สาม ภูมิคุ้มกันเริ่มลดน้อยลง จะมีอาการติดเชื้อรุนแรง ส่งผลให้เป็นโรคมะเร็งบางชนิด มีก้อนหูดขึ้นตามแขนขา มีอาการทางประสาท แขนขาอ่อนแรง มีผื่นเชื้อราเป็นบริเวณกว้าง ลิ้นเป็นฝ้า
ถ้าไม่ได้รับการรักษา มีโอกาสเสียชีวิตได้
                การป้องกันการติดเชื้อเอดส์
                สำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอดส์นั้น มีหลายวิธีให้เลือกใช้ โดยวิธีที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ นอกจากจะเป็นการป้องกันการติดเชื้อได้แล้วยังช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อมอีกด้วย วิธีอื่นๆ เช่น ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงการสัก เพราะบางแห่งอาจทำความสะอาดเครื่องมือไม่สะอาดพอจะก่อให้เกิดการติดเชื้อ
                 ปัญหาโรคเอดส์มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน เพราะความประมาทในการใช้ชีวิต การละเลยการใช้ถุงยางอนามัย และความรู้ไม่เท่าถึงการณ์ จึงทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุดส่งผลต่อการดำเนินชีวิต และหน้าที่การงานเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องมีการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ เพื่อลดจำนวนโรคเอดส์ให้น้อยลง

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เริมที่หี (Genital herpes)

เริมที่หี (Genital herpes)

                โรคเริมที่หี เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Herpes simplex viruses type 1
และ Herpes simplex viruses type 2 ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏอาการใดออกมา      แต่จะเกิดตุ่มน้ำที่ หีซึ่งเมื่อแตกออกจะเกิดอาการปวดแสบร้อนได้ เริมสามารถหายได้ภายใน 3-4 สัปดาห์ แต่สามารถเป็นซ้ำได้ จากการสำรวจพบว่าเริมที่หีพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงสามารถติดเชื้อได้มากกว่าผู้ชาย
                อาการของโรคเริมที่หีเป็นอย่างไร?
                ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าติดเชื้อจนกว่าจะปรากฏอาการออกมาให้เห็น จะมีอาการคันและแสบบริเวณหี จะสังเกตเห็นว่ามีตุ่มน้ำใสๆออกมา บางรายที่อาการรุนแรงอาจมีไข้ และต่อมน้ำเหลืองโตได้ ส่วนใหญ่หลังจากเป็นเริมครั้งแรกแล้วจะเป็นซ้ำ 4-5 ครั้ง ภายในปีเดียวกัน
                สำหรับแม่ที่ตั้งครรภ์ ในระยะ 3 เดือนแรกควรไปฝากครรภ์ เพื่อปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการรักษา อาจทำคลอดโดยผ่าตัดแทนการคลอดธรรมชาติ
                การดูแลตนเองเมื่อเป็นเริมที่หี
                1.หมั่นทำความสะอาดหีด้วยการถูด้วยน้ำสบู่ จากนั้นซับให้แห้งแล้วทายาที่แพทย์ให้มา
                2.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสเริม
                3.ควรใส่ชุดชั้นในที่สามารถระบายอากาศได้ เพราะจะช่วยลดการอับชื้นได้
                4.เมื่อเกิดอาการปวด หรือแสบร้อน อาจทานยาพาราเซตามอนเพื่อลดอาการปวดได้
                การป้องกันโรคเริมที่หี
                การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียว ช่วยลดโอกาสที่จะติดเชื้อเริมได้ และในช่วยที่เป็นเริม ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรดูหนังโป๊เพราะอาจทำให้เกิดการติดต่อไปยังคู่นอนตนเองได้

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปีกมดลูกอักเสบ (Pelvic inflamatory disease)

ปีกมดลูกอักเสบ (Pelvic inflamatory disease)

                โรคติดต่อที่เกิดขึ้นในผู้หญิงอีกโรคหนึ่งคือ โรคปีกมดลูกอักเสบ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งจะมีอาการตกขาว และปวดท้องน้อย บางรายเกิดการติดต่อทางกระแสเลือด เชื้อโรคที่พบบ่อยคือ เชื้อหนองใน ถ้าอาการไม่มากแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แต่ถ้า มีการติดเชื้อรุนแรงจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดยาฉีด โรคปีกมดลูกอักเสบจะหายภายใน 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักพบผู้หญิงช่วงอายุต่ำกว่า 25 ปี หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน
                ในรายที่มีการติดเชื้ออุ้งเชิงกรานเรื้อรัง อาจต้องได้รับการรักษาเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อย บางรายอาจถึงขึ้นผ่าตัด
                อาการของปีกมดลูกอักเสบ
                1.ปวดท้องน้อย มักเริ่มปวดก่อนและหลังมีประจำเดือน มีอาการปวดเกร็งและหน่วงตลอดเวลา แสบร้อนขณะปัสสาวะ เลือดออกผิดปกติ ปวดท้องมากเมื่อมีประจำเดือน
                2.มีไข้ 38 องศา ขึ้นไป ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังปวดท้องน้อย
                3.มีอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน ร่วมด้วย บางรายอาจปวดหลังหรือปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
                4.ตกขาวแบบมีกลิ่น
                วิธีการป้องกัน
                ควรตรวจภายในทุก 6 เดือน เมื่อมีอาการปวดท้องน้อยควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรค ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะเชื้ออาจลุกลาม ทำให้การรักษาเป็นไปได้ยาก หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หลายคน และไม่ควรสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ เพราะจะทำให้ค่าความเป็นกรดตรงบริเวณหีถูกชะล้างออกไปหมด ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าปกติ

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ฝีมะม่วง

ฝีมะม่วง

ฝีมะม่วง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia Tracho matis ซึ่งก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อสัมผัสที่หนองรือฝี จะทำให้เกิดแผลเล็กๆ บริเวณผิวหนังที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย แต่จะไม่รู้สึกเจ็บ ต่อมาจะทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองตรงขาหนีบ มีไข้ เจ็บตรงขาหนีบ ต่อมน้ำเหลืองจะบวมเป็นฝี ทำให้เดินเหินลำบาก อาจลุกลามจนทำให้ท่อนํ้าเหลืองตันและเกิดการบวมนํ้าของหี โรคนี้จะเกิดอาการภายใน 4-10 วัน หลังจากการสัมผัสเชื้อ
                ฝีมะม่วงเกิดจากแผลริมอ่อน หรือเกิดจากอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆตรงหี อาจจะมีอาการอักเสบ บวม แดง ของต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบได้ แต่มักจะบวมไม่มาก ฝีมะม่วงทำให้เกิดการนำไปสู่ท้อนอกมดลูก ภาวะมีบุตรยาก การปวดท้องน้อยเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาจะแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนของตนเองได้
                อาการของโรคฝีมะม่วง
                ระยะแรกของการติดเชื้อจะมีตุ่นนูนใส หรือแผลขนาดเล็กบริเวณหี และหายไปเองได้ภายใน 2-5 วัน ต่อมต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโตติดกันเป็นก้อนฝี และทำให้เจ็บมาก ผิวหนังจะเกิดอาการบวมแดงและอาจเกิดพังผืดขึ้น อัณฑะจะบวม หรือช่องคลอดบวมมาก มีอาการไข้ มีผื่นขึ้น เบื่ออาหาร เวียนหัว คลื่นไส้ ปวดตามร่างกาย ฝีจะหายเองได้ใน 1 เดือน บางรายฝีอาจแตกเป็นรู ทำให้เกิดแผลเรื้อรังได้
                หากมีการร่วมเพศทางทวารหนัก อาจมีเลือดออก มีหนองไหลออกมาและเกิดการตีบตันของทวารหนักได้
                วิธีการดูแลตนเองเมื่อเป็นฝีมะม่วง
                เมื่อเกิดอาการขาหนีบบวม ควรรีบไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หากปวดมากสามารถทานยาพาราเซตามอนเพื่อระงับอาการปวดได้ ประคบอุ่นบริเวณที่ปวดประมาณ 5-10 นาที จะช่วยลดอาการปวดบวมแดงได้
                การป้องการโรค
                1.ไม่สำส่อนทางเพศ และไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้เป็นโรค
                2.รักษาความสะอาดของหีอย่างสม่ำเสมอ
                3.ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ และงดการชมหนังโป๊

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แผลริมอ่อน (Chancroid)

                แผลริมอ่อน เป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi ทำให้เกิดบาดแผลตรงบริเวณหี และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ บางครั้งมีหนองไหลออกมา หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย สามารถเป็นได้ทั้งชายและหญิง มีการติดต่อกันได้ง่าย ผู้ชายที่ติดเชื้อจะมีอาการปวดแผลมากกว่าผู้หญิง ในรายที่ไม่ค่อยปวดแผลมากจะทำให้เกิดแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ง่ายและหากรักษาไม่ครบอาจทำให้เกิดการดื้อยา
                อาการของโรคแผลริมอ่อน
                ผู้รับเชื้อจะมีอาการปรากฏใน 5-7 วัน หีจะเริ่มมีตุ่มนูนขึ้นหลังจากนั้นจะเกิดแผลเล็กๆ ทำให้ปวดแผลมาก แผลจะดูแฉะและไม่สะอาด ในฝ่ายชายปลายควยจะมีลักษณะคล้ายแผลเปื่อย ขอบไม่แข็งและไม่เรียบ เวลาแตะถูกมักมีเลือดซิบ ๆ และรู้สึกเจ็บ ในฝ่ายหญิงจะมีอาการตกขาวแบบมีกลิ่นเหม็น มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต อาจเป็นข้างเดียวหรือเป็นทั้งสองข้างได้ หากไม่ได้รับการรักษาให้ถูกวิธี อาจทำให้ต้องตัดอวัยวะเพศ
                การป้องกันโรค
                1.ไม่สำส่อนทางเพศ ควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรดูหนังโป๊
                2.หากคู่นอนมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
                3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสที่หี
                4.รักษาความสะอาดของหีหลังมีเพศสัมพันธ์เสมอ
                วิธีการรักษา
                1.การรักษาทั่วไป เบื้องต้นใช้สบู่ฟอกบริเวณหีเพื่อทำความสะอาด ทานยาแก้ปวด งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ

                2.การรักษาแบบเฉพาะ คือ การใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Azithromycin Ceftriaxone และ Erythromycin 

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)

มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)

                โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย พบในผู้หญิง พบมากในผู้หญิงอายุ 35-55 ปี มีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยสูง 7 คนต่อวัน สาเหตุที่มีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตมากเป็นเพราะอายที่จะไปพบแพทย์ เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกก็อาจอยู่ในระยะเชื้อลุกลามแล้วก็ได้
                สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
                เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (Human Papilloma Virus) หรือที่เรียกกันว่า ไวรัสหูด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในลักษณะ Precancerous ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย xxx มากเกินไป ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเป็นโรคติดต่อ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส เป็นต้น ทำให้เชื้อไวรัสเข้าไปที่ปากมดลูก ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
            อาการเป็นอย่างไร?
                อาการของมะเร็งจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง อาการที่พบได้บ่อยมากคือการตกเลือดทางหี ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออดกะปริกะปรอยระหว่างรอบเดือน เลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ระยะหลังจากที่อาการลุกลาม จะมีอาการขาบวม ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือด ปวดท้องน้อย ไม่มีเรี่ยวแรง ซึมเศร้า ถ้าโรคมะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ อาจทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้
                วิธีการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
                1.หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
                2.เมื่อมีเพศสัมพันธ์ควรใส่ถุงยางอยามัยทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่เข้าสู่ร่างกาย
                3.ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
                4.ตรวจมะเร็งปากมดลูกปีละ 1 ครั้ง
5.ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก)
                6.ไม่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
                7.ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
                การรักษามะเร็งปาดมดลูกทำอย่างไร?

                ปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การรักษาไม่ต้องผ่าตัด แต่แพทย์จะใช้วิธีจี้ก้อนมะเร็ง การฉายรังสี และการทำเคมีบำบัด ซึ่งจะมีผลข้างเคียงคือ ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร ผมร่วง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ซิฟิลิส (Syphilis)

                โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สะสมเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าหากปล่อยไว้
เป็นระยะเวลานานอาจทำให้ระบบการทำงานของร่างกายได้รับโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
                โรคซิฟิลิสคืออะไร?
                โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่ง มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ลักษณะคล้ายเกลียวสว่าน ชอบอยู่ตามที่ชื้นและตายได้ง่ายเมื่ออยู่ในที่แห้งและเมื่อโดนน้ำสบู่ แบคทีเรียตัวนี้สามารถทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่างๆ ของร่างกายได้หลายระบบ เช่น ซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น นอกจากนี้ มารดาตั้งครรภ์ที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด
                สาเหตุของการเกิดโรคซิฟิลิส
                เกิดได้จากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันโดยการใส่ถุงยางอนามัย การสัมผัสของเสียหรือสารคัดหลั่งผู้เป็นโรคซิฟิลิส ทั้งนี้รวมถึงการติดต่อจากมารดาสู่บุตรด้วย
                อาการของโรคซิฟิลิสเป็นอย่างไร?
                อาการของโรคสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
                1.ระยะแรก เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการ หลังจากที่รับเชื้อจะมีตุ่มเล็กๆที่อวัยวะเพศ(หี) ขาหนีบ ลิ้น ปาก หัวนม ตามส่วนที่สัมผัสกับเชื้อ และมีการขยายใหญ่ขึ้นและแตกออกเป็นวงกว้าง เมื่อทิ้งไว้สามารถรักษาหายเองได้
                2.ระยะที่สอง เชื้อจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองและแพร่กระจายสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดผื่นแดงทั้งตัว จะมีตุ่มนูนขึ้นมา แต่ไม่มีอาการคัน เรียกว่า “ระยะออกดอก” บางรายไม่มีผื่นขึ้นแต่จะมีอาการคล้ายไข้หวัดแทน
                3.ระยะที่สาม หรือระยะสุดท้าย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เชื้อจะเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ทำให้ตาบอด สมองเสื่อม เป็นโรคหัวใจ อาจหนักถึงเป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตเลยก็ได้
                วิธีการป้องกันและการรักษา
                สามารถป้องกันโรคซิฟิลิสได้โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่สำส่อนทางเพศ งดการใช้ปากทำรักกับผู้ติดเชื้อ เมื่อเกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ(หี)ให้รีบพบแพทย์

                สำหรับผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะในปริมาณมาก และจะต้องไปฉีดยาตามนัดทุกครั้ง ไม่ขาดยา เพราะจะทำให้เกิดอาการดื้อยาและไม่หายจากโรคได้